เทคนิค

ไฟล์ JPEG vs RAW แตกต่างกันอย่างไร? ควรจะใช้แบบไหนให้เหมาะกับงาน

นักบินโดรนส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับไฟล์ JPEG หรือไฟล์ RAW กันดีอยู่แล้ว แต่หลายๆคนยังสงสัยถึงความแตกต่าง และไม่รู้จะเลือกใช้งานไฟล์ประเภทไหนดี ซึ่งภายในแอปพลิเคชัน DJI GO 4 นั้นจะสามารถตั้งค่าการบันทึกไฟล์ภาพได้ 3 รูปแบบ คือ JPEG, RAW และ JPEG+RAW แล้วคุณควรเลือกใช้การตั้งค่าแบบไหน? บทความในวันนี้ DJI13Store จะมาพูดถึงการบันทึกไฟล์ภาพทั้ง 3 รูปแบบนี้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร คุณควรจะใช้แบบไหนให้เหมาะสมกับการใช้งาน รวมถึงข้อดีและข้อเสียของการถ่ายภาพระหว่าง JPEG vs RAW

 

ความแตกต่างของ Highlights และ Shadows ระหว่างไฟล์ JPEG vs RAW

 

รูปภาพด้านบนนี้ถูกบันทึกในรูปแบบ JPEG และ RAW จะเห็นได้ว่าบริเวณดวงอาทิตย์เบลอมากเกินไป และเมื่อขยับจากดวงอาทิตย์มาเล็กน้อยดูไม่สดใส ดังนั้นเพื่อให้ภาพถ่ายดูเป็นธรมชาติมากขึ้นจึงควรมีการปรับแต่งแก้ไขภาพเล็กน้อย การปรับแต่งไฟล์ภาพจะทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างระหว่างไฟล์ JPEG และ RAW ชัดเจนขึ้น

 

ปัญหาหลักของไฟล์ภาพ JPEG คือไฟล์จะมีการบีบอัดข้อมูล ซึ่งทำให้ไม่สามารถปรับแต่งภาพเพิ่มเติมได้มากนัก จะเห็นได้ว่าเมื่อนำไฟล์ไปปรับแต่ง Highlights และ Shadows ให้ลดลง ตามรูปภาพด้านบน ต้นไม้ภายในภาพจะดูไม่เป็นธรรมชาติ และดวงอาทิตย์ก็ยังคงดูทึบเช่นเดิม

 

ส่วนไฟล์ RAW นั้นไม่มีการบีบอัดข้อมูลใดๆ ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดได้มากกว่าไฟล์ JPEG หลังจากนำไปปรับแต่งแบบเดียวกันจะเห็นได้ว่าไฟล์ RAW จะให้ภาพที่ดูน่าสนใจและเป็นธรรมชาติมากกว่า ตามรูปภาพด้านบน

White Balance

 

หากคุณบันทึกภาพถ่ายในรูปแบบไฟล์ RAW คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่อง White Balance ได้ง่ายขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของแสงที่คุณใช้ถ่ายภาพ และการตั้งค่า White Balance การปรับแต่งภาพ เช่นการปรับอุณหภูมิสีและโทนสีโดยไม่ทำให้คุณภาพของภาพลดลง ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของแสงที่คุณทำการถ่ายด้วย รูปภาพด้านบนถ่ายด้วยรูปแบบไฟล์ JPEG และ RAW

 

รูปภาพด้านบนคือไฟล์ JPEG ที่ทำการปรับอุณหภูมิสีและโทนสี ภาพที่ได้ยังคงดูไม่ดีนัก

 

รูปแบบไฟล์ RAW นั้น มีการเก็บข้อมูลสีเทาที่ยังไม่ถูกใช้งานมาด้วย นั่นหมายความว่าคุณจะไม่พลาด แม้ว่าคุณจะตั้งค่า White Balance ไม่ถูกต้องระหว่างการถ่ายภาพก็ตาม การถ่ายภาพในรูปแบบไฟล์ RAW ทำให้การปรับแต่งภาพทำได้ง่ายโดยไม่ทำให้คุณภาพลดลงเลย ตามรูปภาพด้านบน คุณจะเห็นรูปภาพที่มีความคมชัดและความสวยงาม คุณสามารถเรียนรู้จากบทความ 6 เทคนิคการตั้งค่ากล้องก่อนถ่ายภาพ เพิ่มเติมได้นะครับ

Viewing Files

ถึงแม้ดูเหมือนว่ารูปแบบไฟล์ RAW จะมีข้อดีที่เหนือกว่าไฟล์ JPEG ในหลายๆด้าน แต่ไฟล์ประเภทนี้ก็มีข้อเสียอยู่นั่นก็คือ จะไม่สามารถเปิดดูภาพได้หากไม่ได้ใช้โปรแกรมพิเศษอย่าง Adobe Photoshop หรือ Adobe Lightroom บนสมาร์ทโฟนและเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ไฟล์ JPEG สามารถเปิดดูได้ แต่หากคุณถ่ายภาพด้วยผลิตภัณฑ์ของ DJI แล้วบันทึกในรูปแบบไฟล์ RAW แอปพลิเคชันจะมีการบันทึกไฟล์ JPEG ความละเอียดต่ำไว้ในแอปพลิเคชัน DJI GO ให้คุณสามารถดูภาพตัวอย่างได้แม้ว่าคุณจะไม่ได้เลือกการบันทึกเป็นรูปแบบ JPEG+RAW ก็ตาม

File Sizes

นอกจากนี้ หากคุณดูที่ขนาดไฟล์ของภาพ คุณจะเห็นได้ว่าไฟล์ RAW จะมีขนาดใหญ่กว่าไฟล์ JPEG ถึง 5 เท่า จากรูปภาพด้านบนไฟล์ DNG ซึ่งเป็นไฟล์ RAW มีขนาดประมาณ 34,000 KBในขณะที่ไฟล์ JPEG มีขนาดเพียงแค่ 7,000 KB

Timed Shots

 

เนื่องจากไฟล์ RAW มีขนาดใหญ่ จึงใช้เวลาในการประมวลผลและบันทึกลงบนเมมโมรี่การ์ด นานกว่าไฟล์ JPEG จากรูปภาพด้านบนจะเห็นว่าช่วงเวลาถ่ายภาพสั้นที่สุดคือ 2 วินาทีสำหรับไฟล์ภาพแบบ JPEG และ เวลา 10 วินาทีสำหรับไฟล์ภาพแบบ RAW

แล้วควรจะเลือกใช้ไฟล์รูปแบบไหน?

สุดท้ายนี้คุณคงเกิดคำถามว่า แล้วตกลงไฟล์แบบไหนดีกว่ากัน? ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณว่านำภาพไปใช้ในงานอะไร หากคุณต้องการถ่ายภาพสำหรับเก็บไว้ดูเองหรือลงโซเชียลมีเดียไว้อวดเพื่อนๆ แบบง่ายๆ ไม่ได้ต้องการปรับแต่งอะไรมากนัก คุณก็สามารถใช้ไฟล์แบบ JPEG ที่ใช้เวลาในการประมวลผลน้อย ทำให้คุณสามารถใช้เวลาในการถ่ายภาพได้มากกว่า ส่วนใครที่ต้องการใช้ภาพถ่ายในการทำงานที่สูงขึ้น ต้องการปรับแต่งภาพระดับสูงอย่างมืออาชีพ คุณควรใช้รูปแบบไฟล์ RAW ที่ไม่มีการบีบอัดข้อมูลทำให้ภาพได้รับข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และช่วยให้คุณมีทางเลือกในการปรับแต่งภาพถ่ายมากขึ้นนั่นเอง

 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : DJI
แปลและเรียบเรียงโดย : DJI13STORE