เปรียบเทียบ Osmo Pocket กับ Osmo Mobile 2 รุ่นไหนที่เหมาะกับเรา

เมื่อปีที่ผ่านมา DJI (ดีเจไอ) ได้เปิดตัว Osmo Pocket กล้องจิ๋วสุดล้ำ และ Osmo Mobile 2 อุปกรณ์กันสั่นหรือที่เรียกกันติดปากว่าไม้กันสั่น ใช้สำหรับบันทึกภาพนิ่งหรือถ่ายวิดีโอ การันตีคุณภาพได้จากกระแสตอบรับของผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพจับจองไปใช้งานกันอย่างแพร่หลาย แล้วอุปกรณ์ทั้งสองรุ่นนี้มีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง ในวันนี้ DJI13Store จะมาไขคำตอบ รวมทั้งเปรียบเทียบอุปกรณ์ทั้งสองว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด

 

Disable Vision Positioning System

 

Ease of Use (ความสะดวกในการใช้งาน)

 

Portability (การพกพา)

ด้วยน้ำหนักเพียง 116 กรัม ทำให้ Osmo Pocket (ออสโม่พ็อกเก็ต) ตระกูล Osmo Series ชนะขาดลอย ด้วยดีไซน์ที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา คุณสามารถพกพาอุปกรณ์กันสั่นตัวนี้ไว้ในกระเป๋าเสื้อของคุณและพกพาติดตัวไปได้ทุกที่ทุกเวลา

 

สำหรับ Osmo Mobile 2 (ออสโม่โมบาย 2) เป็นอุปกรณ์กันสั่นที่หนักกว่าเล็กน้อย โดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 485 กรัม ถึงแม้ว่าจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าและน้ำหนักมากกว่า แต่ยังคงสามารถพกพาได้ง่ายด้วยขนาดกะทัดรัดและการออกแบบมาให้สามารถจัดเก็บได้ง่าย

 

Disable Vision Positioning System

 

Standalone Operation (การใช้งานด้วยอุปกรณ์เพียงอย่างเดียว)

Osmo Pocket เป็นอุปกรณ์กันสั่นแบบ 3 แกน ที่มีกล้องคุณภาพสูงติดมาด้วย โดยไม่จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน ก็ยังสามารถใช้งานได้ เนื่องจากตัวอุปกรณ์มาพร้อมกับหน้าจอทัชสกรีนขนาด 1.08 นิ้ว ทำให้คุณสามารถใช้งานโหมดต่างๆ รวมถึงการตั้งค่าผ่านการสัมผัสที่หน้าจอได้ทันที

 

Disable Vision Positioning System

 

แต่ถ้าหากคุณต้องการที่จะเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้หน้าจอของสมาร์ทโฟนแทน ก็สามารถทำได้โดยเชื่อมต่อผ่าน Universal Port ที่อยู่ด้านข้างตัวเครื่องและยังสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน DJI Mimo สร้างสรรค์ผลงาน แก้ไข และแชร์ภาพถ่ายของคุณได้อีกด้วย ส่วน Osmo Mobile 2 เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดียวกัน สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เพียงแต่การใช้งานต้องใช้พร้อมกันกับสมาร์ทโฟนเท่านั้น โดยการเชื่อมต่อตัวอุปกรณ์กับสมาร์ทโฟนและใช้แอพพลิเคชัน DJI GO

 

Disable Vision Positioning System

 

สำหรับ Osmo Mobile 2 ไม่สามารถใช้งานได้ทันที ผู้ใช้งานจำเป็นต้องเชื่อมต่อร่วมกับสมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชัน DJI GO ก่อนเสมอ

 

Connection Method (วิธีการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน)

Osmo Mobile 2 สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของคุณผ่าน Bluetooth และใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน DJI GO หากคุณไม่ได้เชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชันจะทำให้คุณจะไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์หรือตั้งค่าการใช้งานได้

 

ในขณะที่ Osmo Pocket สามารถใช้งานได้ทั้งแบบสแตนด์อโลน หรือเชื่อมต่อใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนได้ผ่าน WI-FI, Bluetooth และ Universal Port นอกจากนี้แอปพลิเคชัน DJI Mimo จะเปิดอัตโนมัติเมื่อคุณทำการเชื่อมต่อ Osmo Pocket เข้ากับสมาร์ทโฟน

 

Setup (การติดตั้งก่อนเริ่มใช้งาน)

Osmo Pocket สามารถเปิดปิดการใช้งานได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีด้วยปุ่มพาวเวอร์ โดยไม่จำเป็นต้องปรับบาลานซ์หรือปรับสมดุลของอุปกรณ์ก่อนเริ่มการใช้งาน และแอปพลิเคชัน DJI Mimo จะเปิดอัตโนมัติเมื่อทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับสมาร์ทโฟนผ่าน Universal Port ที่อยู่ด้านข้างของ Osmo Pocket

 

แตกต่างจาก Osmo Mobile 2 ที่ต้องทำการเชื่อมต่อสามาร์ทโฟนเข้ากับอุปกรณ์ผ่านทาง Bluetooth ก่อน จากนั้นจำเป็นต้องปรับบาลานซ์หรือปรับสมดุลของอุปกรณ์ก่อนเริ่มการใช้งาน ถึงแม้จะมีขั้นตอนในการเริ่มใช้งานเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยแต่อุปกรณ์ก็สามารถใช้งานได้ง่ายไม่ยุ่งยากอะไร

 

Smooth Footage (ความราบรื่นของไฟล์งาน)

 

3-Axis Gimbal (ระบบแกนกันสั่น 3 แกน)

อุปกรณ์ทั้งสองมี ระบบแกนกันสั่น 3 แกนที่ช่วยป้องกันการสั่นไหวของวิดีโอในขณะที่กำลังเคลื่อนไหวในทุกๆสถานการณ์ เพียงแต่ Osmo Pocket มีระบบกันสั่นที่มีขนาดเล็กที่สุดที่ DJI เคยผลิตมา ด้วยการทำงานที่ซับซ้อนทำให้การเคลื่อนไหวของกล้องราบรื่นเป็นพิเศษ

 

Disable Vision Positioning System

 

High-Definition Images (ภาพถ่ายความละเอียดสูง)

คุณภาพของภาพถ่ายจาก Osmo Mobile 2 จะแตกต่างกันไปตามรุ่นของสมาร์ทโฟนที่ใช้งาน ซึ่ง Osmo Mobile 2 รองรับการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนหลากหลายทั้งระบบ iOS และ Android ทำให้ผู้ใช้งานมีอิสระในการเลือกใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนที่มีคุณภาพตามความต้องการ

 

Disable Vision Positioning System

 

ในทางตรงกันข้าม Osmo Pocket มีกล้องคุณภาพสูงที่ติดมากับตัวอุปกรณ์ ถึงแม้จะดูมีขนาดเล็ก แต่ตัวกล้องมีเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.3 นิ้ว เลนส์มุมกว้าง 80 องศา และรูรับแสง f/2.0 สามารถถ่ายวิดีโอได้ด้วยความละเอียดสูงถึงระดับ 4K/60fps ที่ 100 Mbps และสามารถถ่ายภาพนิ่งได้ด้วยความคมชัดถึง 12 ล้านพิกเซล

 

Disable Vision Positioning System

 

Performance (ประสิทธิภาพการทำงาน)

 

Battery Life (ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่)

Osmo Pocket ที่ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม เมื่อใช้งานแบบสแตนด์อโลนสามารถบันทึกวิดีโอได้นานสูงสุดถึง 140 นาที นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จแบตเตอรรี่ได้อย่างรวดเร็ว ในเวลา 1 ชั่วโมงสามารถชาร์จแบตเตอรรี่ได้ประมาณ 90% สำหรับ Osmo Mobile 2 ที่ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 15 ชั่วโมง

 

Intelligent Features (ฟังก์ชันการทำงานอัจฉริยะ)

 

ActiveTrack

เป็นโหมดการทำงานอัจฉริยะ ที่ทำให้คุณสามารถเลือกเป้าหมายเพื่อให้กล้องสามารถจดจำและติดตามวัตถุที่คุณเลือกได้โดยอัตโนมัติ โหมดนี้เป็นคุณสมบัติพิเศษที่มีทั้ง Osmo Pocket และ Osmo Mobile 2

 

Timelapse/Motionlapse

คุณสามารถใช้งานโหมดการทำงานอัจฉริยะนี้ได้ทั้งบน Osmo Pocket และ Osmo Mobile 2 ซึ่งเป็นโหมดที่สามารถบันทึกวิดีโอแบบ Timelapse ที่สวยงามลื่นไหลได้ ไม่ว่าจะเป็นวิวในเมืองหรือบรรยากาศช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตก

 

Panorama

และเช่นเดียวกัน Osmo Pocket และ Osmo Mobile 2 สามารถถ่ายภาพที่มีมุมมองภาพขนาดใหญ่ด้วยโหมดพาโนรามาแบบ 3x3 ทั้งหมด 9 ภาพแล้วนำมารวมกันเป็นภาพที่มีขนาดใหญ่ 1 ภาพ

 

นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายภาพพาโนรามา 180° จำนวน 4 ภาพแล้วนำมารวมกันเป็นภาพถ่ายในแนวระนาบ 1 ภาพ จะได้มุมมองของภาพที่กว้างและสวยงามมากๆ

 

Disable Vision Positioning System

 

Low-Light Shooting

เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย Osmo Pocket และ Osmo Mobile 2 ซึ่งมีระบบกันสั่น 3 แกนที่จะช่วยให้การถ่ายภาพในขณะที่มีการเคลื่อนไหวได้ดีโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง

 

Disable Vision Positioning System

 

Exclusive for Osmo Pocket (ความพิเศษเพิ่มเติมของ Osmo Pocket)

 

FPV Mode

Osmo Pocket มีโหมดที่เรียกว่า FPV ที่จะช่วยให้คุณสามารถบันทึกวิดีโอด้วยมุมมองที่สมจริง ด้วยการทำงานของกล้องที่สามารถเอียงและเอนไปตามทุกๆจังหวะของการเคลื่อนไหว

 

Ultra-Wide Angle Selfie

แน่นอนว่า Osmo Mobile 2 สามารถถ่ายภาพแบบเซลฟี่ได้ Osmo Pocket ก็มีคุณสมบัตินี้เช่นเดียวกัน ซึ่งถูกพัฒนาอีกขั้นเพื่อให้คุณสามารถเซลฟี่ได้ด้วยภาพมุมกว้างพิเศษ เพื่อให้สามารถจับภาพสิ่งรอบตัวได้มากขึ้น

 

Disable Vision Positioning System

 

FaceTrack

Osmo Pocket ยังมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า FaceTrack ที่สามารถตรวจจับใบหน้าอัตโนมัติ เมื่อคุณทำการถ่ายเซลฟี่ หรือถ่ายวิดีโอ โหมดนี้ยังสามารถใช้ติดตามวัตถุได้ด้วยความแม่นยำมากขึ้น

 

Disable Vision Positioning System

 

Dedicated Accessories

 

  • Osmo Pocket มีอุปกรณ์เสริมที่ผลิตออกมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากมาย เช่น
  • - Charging Case : กระเป๋าสำหรับเก็บ Osmo Pocket และอุปกรณ์เสริม
  • - Wireless Module : ใช้เชื่อมต่อ Osmo Pocket กับสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth และ Wi-Fi
  • - Extension Rod : ไม้เซลฟี่ต่อขยายความยาว 80 เซ็นติเมตร มีปุ่มควบคุมการทำงาน พร้อมขาตั้งกล้อง
  • - Waterproof Case : เคสกันน้ำสำหรับ Osmo Pocket ในระดับความลึก 60 เมตร
  • - Accessory Mount : ใช้เชื่อมต่อเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับกิจกรรมการกีฬา
  • - Quick-Release Base : ฐานสำหรับเอาไว้ยึดจับพื้นผิวต่างๆ
  • - ND Filters Set : ใช้สำหรับสภาพแวดล้อมที่มีแสงแตกต่างกัน
  • - Controller Wheel : ใช้สำหรับควบคุมกล้อง ที่ต้องการความแม่นยำมากขึ้น และปุ่มสำหรับสั่งงานที่สะดวกสบาย
  • - 3.5mm Adapter : ใช้สำหรับเชื่อมต่อไมโครโฟนภายนอก

 

My Story & Story Mode

DJI Mimo เป็นแอปพลิเคชันที่ได้รับการพัฒนาสำหรับผู้ใช้งานให้สามารถบอกเล่าเรื่องราวหรือแชร์ประสบการณ์การถ่ายภาพ โดยแอปพลิเคชันจะเปิดขึ้นอัตโนมัติเมื่อเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับ Osmo Pocket เพื่อขยายขีดความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่จำกัด คุณสามารถใช้ DJI Mimo แก้ไขและปรับแต่งภาพถ่าย รวมถึงตัดต่อวิดีโอแบบง่ายๆได้ทันที ไม่เพียงเท่านี้คุณยังสามารถแชร์ภาพต่างๆของคุณ ผ่านทางแอปพลิเคชันได้อีกด้วย

 

Story Mode เป็นโหมดการถ่ายวิดีโอเพื่อบอกเล่าเรื่องราวสั้นๆอัตโนมัติ ที่มีรูปแบบการถ่ายทำที่ถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าให้คุณเลือกมากมาย นับว่าเป็นโหมดที่ผู้ใช้งานหลายคนให้ความสนใจอย่างมาก

 

บทสรุปสุดท้ายก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อ Osmo Pocket vs Osmo Mobile 2

Osmo Mobile 2 เป็นตัวเลือกที่ดีมากๆสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอที่ต้องการความลื่นไหล ราบรื่น ไม่สั่นไหวแม้ในขณะที่กำลังเคลื่อนที่ อุปกรณ์นี้จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยตรงเพียงเชื่อมต่อใช้งานกับสมาร์ทโฟนของคุณ คุณสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่ทุกเวลา ประกอบกับ Osmo Mobile 2 มีฟีเจอร์สุดเจ๋งให้เลือกใช้งานมากมาย เพื่อช่วยให้วิดีโอของคุณสวยงาม แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร ไม่ว่าจะเป็นโหมด ActiveTrack, Hyperlapse, Timelapse, Motionlapse, Panorama และอื่นๆ นับว่าคุ้มค่าสุดๆกับราคาที่ไม่แพงมาก จนหลายๆคนยอมควักกระเป๋าซื้อมาใช้งาน Osmo Mobile 2 ราคาเพียง 5,000 บาทเท่านั้น ในขณะเดียวกัน DJI ได้เปิดตัวไม้กันสั่นสำหรับมือถือรุ่นใหม่ ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย และพัฒนาขีดความสามารถที่สูงขึ้น ดีไซน์ให้พับเก็บได้ ทำให้ง่ายต่อการพกพา เหมาะอย่างยิ่งกับการถ่ายทำสไตล์ Volg หรือ Selfie ใช้ชื่อว่า Osmo Mobile 3 ราคาถูกลงจากรุ่นเดิม เหลือเพียง 3,490 บาทเท่านั้น แต่ได้คุณภาพการใช้งานที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น โหมดถ่ายภาพอัจฉริยะ เพิ่มขึ้นมากมาย เช่น ActiveTrack 3.0, Dolly Zoom และ Sport

 

สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปหรือช่างภาพมืออาชีพ ที่ต้องการสร้างสรรค์มุมมองภาพถ่ายที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย Osmo Pocket ถือว่าตอบโจทย์ทุกๆความต้องการ ด้วยคุณภาพกล้องที่ติดมากับอุปกรณ์ สามารถถ่ายวิดีโอได้ด้วยความละเอียดสูงถึงระดับ 4K/60fps ถ่ายภาพนิ่งด้วยความคมชัดถึง 12 ล้านพิกเซล และมีฟีเจอร์เด็ดๆที่ยกมาจาก Osmo Mobile 2 ทั้งหมด แถมมีฟังก์ชันใหม่ๆให้ใช้งานเช่น FPV Mode, FaceTrack, Story Mode และอื่นๆ มาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์มากขึ้น ไม่ลังเลเลยที่จะต้องบอกว่า “ของมันต้องมี” Osmo Pocket ราคาเพียง 12,500 บาทเท่านั้น

 

Disable Vision Positioning System

 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : DJI
แปลและเรียบเรียงโดย : DJI13STORE