เปรียบเทียบ

DJI Mini 4 Pro vs DJI Air 3: เปรียบเทียบ 2 โดรนสุดฮอต ตัวไหนเหมาะกับอะไร?

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Drone ทุกคน! วันนี้เรามีบทความที่น่าสนใจมาฝากกันครับ เพราะเชื่อว่าหลายๆ คนกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเลือกซื้อโดรนรุ่นไหนดี ระหว่าง DJI Mini 4 Pro กับ DJI Air 3 ใช่มั้ยล่ะ? เรารู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากเพราะทั้งสองรุ่นนี้ต่างก็มีข้อดีที่โดดเด่นในแบบของตัวเอง แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ! เพราะในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโดรนทั้งสองรุ่นนี้อย่างลึกซึ้ง เปรียบเทียบคุณสมบัติ จุดเด่น และความเหมาะสมในการใช้งานแต่ละด้าน เพื่อให้คุณได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ชัดเจน และตัดสินใจเลือกโดรนที่ใช่สำหรับคุณได้อย่างมั่นใจ

เราจะไปดูกันว่า DJI Mini 4 Pro และ DJI Air 3 นั้นมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร  ตัวไหนเหมาะกับการใช้งานแบบไหน และมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้าง พร้อมแล้วไปหาคำตอบกันเลยครับ! รับรองว่าเมื่ออ่านจบ คุณจะได้ข้อมูลดีๆ ที่จะช่วยให้การตัดสินใจเลือกโดรนเป็นเรื่องง่าย เริ่ม!

เมื่อเราต้องซื้อโดรนต้องดูอะไรบ้าง?

ถ้าคิดไม่ออกว่าก่อนจะซื้อโดรนเราต้องดูอะไรบ้าง? เอาล่ะ มาดูกันว่าเราควรพิจารณาอะไรบ้างเวลาเลือกซื้อโดรนสักตัว หลักๆ ถ้านอกจากงบประมาณของเรา ก็ให้ดู 5 อย่างต่อไปนี้

  1. ขนาดและน้ำหนัก: เป็นเรื่องสำคัญมากๆ เลยนะ เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสะดวกในการพกพา ถ้าโดรนเล็กและเบา ก็จะง่ายต่อการนำติดตัวไปไหนมาไหน แต่ถ้าใหญ่และหนักเกินไป อาจจะลำบากหน่อย ต้องดูว่าเราต้องการพกพาบ่อยแค่ไหน และพื้นที่ในการเก็บมีมากน้อยแค่ไหนด้วย
  2. เซ็นเซอร์กล้องและคุณภาพภาพ: นี่คือหัวใจสำคัญของโดรนเลยก็ว่าได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเราซื้อโดรนมาก็เพื่อถ่ายภาพและวิดีโอ ดังนั้นต้องดูว่ากล้องมีความละเอียดเท่าไหร่ ถ่ายวิดีโอระดับ 4K ได้มั้ย รูรับแสงกว้างแค่ไหน ยิ่งสเปคกล้องดี คุณภาพภาพที่ได้ก็จะยิ่งสวยงามและน่าประทับใจ
  3. ระบบป้องกันภาพสั่นไหว: เวลาบินโดรน ลมหรือการเคลื่อนไหวอาจทำให้ภาพสั่นไหวได้ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของภาพและวิดีโอ ดังนั้นโดรนที่ดีควรมีระบบกันสั่นที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ภาพที่นิ่งและคมชัด ไม่ว่าจะบินในสภาวะแวดล้อมแบบไหนก็ตาม
  4. ระยะเวลาการบิน: สิ่งนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเราไม่อยากให้แบตหมดเร็วเกินไปจนต้องลงจอดกลางคัน ยิ่งบินได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จะได้ถ่ายภาพและวิดีโอได้อย่างจุใจโดยไม่ต้องกังวล แต่ต้องดูด้วยว่าน้ำหนักแบตเตอรี่จะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน เพราะมันอาจส่งผลต่อน้ำหนักรวมของโดรนได้
  5. ระบบพิเศษต่างๆ: โดรนรุ่นใหม่ๆ มักจะมาพร้อมกับฟีเจอร์และเทคโนโลยีที่น่าสนใจ เช่น
  • ระบบตรวจจับสิ่งกีดขวาง เพื่อหลีกเลี่ยงการชนวัตถุระหว่างบิน 
  • โหมดถ่ายภาพอัจฉริยะ ที่ช่วยให้ถ่ายภาพสวยๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น ถ่ายตาม วนรอบวัตถุ หรือเก็บภาพพาโนรามา
  • ระบบส่งสัญญาณภาพแบบ HD ที่ช่วยให้เห็นภาพจากโดรนแบบเรียลไทม์ผ่านจอควบคุม
  • โหมดบินอัตโนมัติ ที่ตั้งค่าให้โดรนบินไปยังจุดต่างๆ ได้เอง

เปรียบเทียบ DJI Mini 4 Pro และ DJI Air 3

เอาล่ะ มาถึงบทเปรียบเทียบที่หลายคนรอคอยกันแล้ว! วันนี้เราจะมาดูกันว่าระหว่าง DJI Mini 4 Pro และ DJI Air 3 นั้น ตัวไหนจะเหนือกว่ากันในแต่ละด้าน เริ่มกันเลยดีกว่า!

  1. ด้านประสิทธิภาพกล้อง

   – DJI Mini 4 Pro : กล้อง 48MP, เซ็นเซอร์ CMOS 1/1.3″, ถ่ายวิดีโอ 4K/60fps, Zoom ดิจิตอล 4 เท่า

   – DJI Air 3 : กล้อง 48MP, เซ็นเซอร์ CMOS 1/1.3″, ถ่ายวิดีโอ 4K/60fps, Zoom ดิจิตอล 4 เท่า

สรุป: ทั้งสองรุ่นมีสเปคกล้องที่คล้ายกันมาก ให้คุณภาพภาพและวิดีโอในระดับท็อปเหมือนกัน

 

  1. ด้านระยะเวลาการบินและความเร็ว

   – DJI Mini 4 Pro : บินได้นาน 34 นาที, ความเร็วสูงสุด 64.8 กม./ชม.

   – DJI Air 3 : บินได้นาน 46 นาที, ความเร็วสูงสุด 68.4 กม./ชม.

สรุป: DJI Air 3 เหนือกว่าเล็กน้อยทั้งเรื่องระยะเวลาบินและความเร็ว แต่ DJI Mini 4 Pro ก็ไม่ได้ห่างชั้นมากนัก

 

  1. ด้านน้ำหนักและขนาด

   – DJI Mini 4 Pro : น้ำหนัก 249 กรัม, ขนาดพับเก็บ 145×90×62 มม.

   – DJI Air 3 : น้ำหนัก 568 กรัม, ขนาดพับเก็บ 180×97×80 มม.

สรุป: DJI Mini 4 Pro เบาและเล็กกว่ามาก พกพาสะดวกสบายกว่าเยอะ เหมาะสำหรับพกติดตัวไปถ่ายภาพนอกสถานที่

 

  1. ด้านฟีเจอร์และความสามารถพิเศษ

   – DJI Mini 4 Pro : ระบบหลบหลีกสิ่งกีดขวางแบบ 3 ทิศทาง, โหมดถ่ายภาพอัจฉริยะ, ส่งสัญญาณวิดีโอ HD

   – DJI Air 3 : ระบบหลบหลีกสิ่งกีดขวางแบบ 6 ทิศทาง, โหมดถ่ายภาพอัจฉริยะ, ส่งสัญญาณวิดีโอ Full HD

สรุป: DJI Air 3 มีระบบหลบหลีกสิ่งกีดขวางที่ครอบคลุมกว่า แต่ฟีเจอร์อื่นๆ ทั้งคู่ก็ให้มาใกล้เคียงกัน

 

  1. ด้านราคาและความคุ้มค่า

   – DJI Mini 4 Pro : ราคาเริ่มต้นที่ 25,690 – 37,390 บาท (ขึ้นอยู่กับ Option ต่างๆ)

   – DJI Air 3 : ราคาเริ่มต้นที่ 34,990 – 42,490 บาท (ขึ้นอยู่กับ Option ต่างๆ)

 

แนะนำการเลือกซื้อตามการใช้งาน

หลังจากที่เราได้เปรียบเทียบ DJI Mini 4 Pro และ DJI Air 3 กันไปแล้ว ต่อไปเราจะมาดูกันว่าโดรนแต่ละรุ่นนั้นเหมาะกับใครและการใช้งานแบบไหนบ้าง 

 

DJI Mini 4 Pro เหมาะกับใครบ้าง?

มือใหม่หัดบิน : ด้วยขนาดที่เล็กและน้ำหนักเบา ทำให้ควบคุมง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเล่นโดรน

คนที่ต้องการโดรนพกพาสะดวก : ด้วยขนาดเล็กกะทัดรัด พับเก็บได้ พกพาไปไหนมาไหนได้ง่ายๆ

คนที่มีงบประมาณจำกัด : ราคาถูกกว่า DJI Air 3 เกือบ 10,000 บาท แต่คุณภาพก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก ถือว่าคุ้มค่ามาก

ข้อดีของ DJI Mini 4 Pro

– ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาสะดวก

– ราคาไม่แพงมากนัก เริ่มต้นที่ 24,900 บาท

– คุณภาพกล้องและวิดีโอดีเยี่ยม ถ่าย 4K/60fps ได้

– ระบบหลบหลีกสิ่งกีดขวางแบบ 3 ทิศทาง

– โหมดถ่ายภาพอัจฉริยะให้เลือกใช้งาน

ข้อเสียของ DJI Mini 4 Pro

– ระยะเวลาการบินสั้นกว่า DJI Air 3 ประมาณ 12 นาที

– ระบบหลบหลีกสิ่งกีดขวางไม่ครอบคลุมเท่า DJI Air 3

– ไม่มีกล้องเลนส์คู่แบบ DJI Air 3

 

DJI Air 3 เหมาะกับใครบ้าง?

คนที่ต้องการคุณภาพภาพและวิดีโอระดับสูง : ด้วยกล้องคู่ เลนส์มุมกว้างและเทเลโฟโต้ ให้ภาพคมชัดสวยงามทุกช็อต

คนที่ต้องการโดรนบินได้นานและไกล : บินได้นานถึง 46 นาที ไกลกว่า DJI Mini 4 Pro ค่อนข้างมาก

คนที่ต้องการระบบตรวจจับสิ่งกีดขวางที่ดีที่สุด : ด้วยเซ็นเซอร์ 6 ทิศทาง ทำให้บินได้อย่างปลอดภัย หลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างชาญฉลาด

ข้อดีของ DJI Air 3

– คุณภาพภาพและวิดีโอเยี่ยมยอด ด้วยกล้องคู่และเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่

– ระยะเวลาการบินที่ยาวนานถึง 46 นาที

– ระบบตรวจจับสิ่งกีดขวางแบบ 6 ทิศทาง ปลอดภัยมากขึ้น

– โหมดถ่ายภาพอัจฉริยะและฟีเจอร์ล้ำๆ มากมาย

ข้อเสียของ DJI Air 3

– ราคาสูงกว่า DJI Mini 4 Pro ค่อนข้างมาก เริ่มต้นที่ 34,xxx บาท

– ขนาดใหญ่และหนักกว่า พกพาไม่สะดวกเท่า DJI Mini 4 Pro

สรุปแล้ว ถ้าคุณเป็นมือใหม่ มีงบจำกัด และต้องการโดรนพกพาง่าย DJI Mini 4 Pro คือตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณต้องการสุดยอดคุณภาพภาพ ระยะบินที่ไกลและนาน พร้อมระบบหลบหลีกสิ่งกีดขวางอันชาญฉลาด และพร้อมจ่ายแพงขึ้นสักหน่อย DJI Air 3 ก็พร้อมให้คุณได้สัมผัสเทคโนโลยีสุดล้ำในตลาดตอนนี้


ข้อควรระวังในการใช้งาน

ก่อนจะจบบทความนี้ไป เรามาดูเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามกันดีกว่า นั่นก็คือเรื่องของการดูแลรักษาโดรน และข้อควรระวังต่างๆ ในการบิน เพื่อให้เราสนุกกับการใช้โดรนได้อย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย

วิธีการดูแลรักษาโดรน

  1. เช็ดทำความสะอาดโดรนหลังใช้งานทุกครั้ง โดยเฉพาะเลนส์กล้อง เพื่อคุณภาพภาพที่ดี
  2. เก็บโดรนในที่แห้งและอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป
  3. ถอดแบตเตอรี่ออกเมื่อไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน เพื่อยืดอายุแบตฯ
  4. ตรวจเช็คสภาพใบพัดอยู่เสมอ หากมีรอยแตกร้าวหรือเสียหาย ให้เปลี่ยนทันที
  5. อัปเดตเฟิร์มแวร์ของโดรนและรีโมทให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย

ข้อควรระวังและกฎหมายการบินโดรนในประเทศไทย

  1. ห้ามบินในพื้นที่ห้ามบิน เช่น ใกล้สนามบิน เขตทหาร พื้นที่ราชการ โดยไม่ได้รับอนุญาต
  2. ห้ามบินเหนือฝูงชน ผู้คน หรือสัตว์ เพื่อความปลอดภัย
  3. รักษาระยะสายตา (Visual Line of Sight) กับโดรนตลอดเวลาที่บิน
  4. บินในเวลากลางวัน และสภาพอากาศที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงลมแรงและฝนตก
  5. ความสูงในการบินต้องไม่เกิน 90 เมตร จากพื้นดิน
  6. ต้องขึ้นทะเบียนโดรนที่มีน้ำหนักเกิน 250 กรัม ผ่านแอป “CAAT Drone”
  7. ผู้บังคับโดรนต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี หรือบินภายใต้การกำกับดูแลของผู้ใหญ่
  8. ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อนบิน ไม่บินรบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น
  9. หากต้องการบินเพื่อการพาณิชย์ ต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ

บทสรุป

     สรุปแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นเล่นโดรน หรือเป็นมืออาชีพที่ต้องการโดรนประสิทธิภาพสูง DJI Mini 4 Pro และ DJI Air 3 ก็พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น ทั้งคุณภาพกล้อง ระยะเวลาการบิน ระบบป้องกันสิ่งกีดขวาง และฟีเจอร์อัจฉริยะต่างๆ รับรองว่าคุณจะได้ภาพและวิดีโอสุดสวย สุด Cool กลับไปอย่างแน่นอน

 

     การเลือกโดรนให้เหมาะกับตัวเองนั้น สำคัญที่สุดคือต้องดูความต้องการและงบประมาณของคุณ หากคุณเน้นความคุ้มค่า พกพาสะดวก และใช้งานง่าย DJI Mini 4 Pro คือคำตอบที่ลงตัว แต่ถ้าคุณต้องการสุดยอดประสิทธิภาพ พร้อมจ่ายแพงขึ้นอีกสักนิด DJI Air 3 ก็พร้อมให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การบินที่เหนือระดับ

 

     เชื่อว่าบทความนี้ช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่าง DJI Mini 4 Pro และ DJI Air 3 มากขึ้น และหากตัดสินใจเลือกโดรนที่ใช่สำหรับคุณได้แล้ว ไม่ต้องรอช้า สอบถามเราได้ที่ DJI13store.com ขอให้สนุกกับการ.ใช้โดรนและการถ่ายภาพ ถ่าย Video ให้สวยๆนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ!